การเล่นทีมฝ่ายรับ ในกีฬาบาสเกตบอลก็เหมือนกับการเล่นทีมฝ่ายรับในกีฬาประเภทอื่น ๆ ที่ต้องการผู้เล่นที่มีความสามารถในการป้องกันได้ดี เพราะการป้องกันที่ดีจะนำมาแห่งชัยชนะ
ความมุ่งหมายของการป้องกัน คือ ไม่ให้ฝ่ายครอบครองลูกบอลยิงประตูได้ และเวลาเดียวกันก็พยายามแย่งลูกบอลมาเป็นของฝ่ายตนให้ได้ด้วย สิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับเป็นฝ่ายป้องกันก็คือ การควบคุมร่างกาย (body control) กล่าวคือ จะต้องมีการทรงตัวที่ถูกต้อง จึงจะช่วยให้การเคลื่อนไหนไปสู่ทิศทางต่าง ๆ ได้รวดเร็ว ความสามารถในการป้องกันของแต่ละบุคคลจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการดังนี้
- การยืน (Stance)
- การเคลื่อนไหวของของเท้า (footwork)
- ตำแหน่งในการยืน (position)
- การยืน (Stance) ลักษณะการยืนในการป้องกันที่ถูกต้อง ควรยืนในลักษณะเท้านำเท้าตาม (ข้างหนึ่งอยู่หน้า อีกข้างอยู่หลัง) เข่าและเอวย่อ งอเล็กน้อย ศีรษะตั้ง สายตาจับมองคู่ต่อสู้และลูกบอล ให้มือข้างเดียวกับเท้านำยกสูงขึ้นคอยป้องกันและรบกวนในการยิงประตู ส่วนอีกข้างหนึ่งลดต่ำลงคอยสกัดกั้นในการส่งลูกบอล
- การก้าวเท้าในการเคลื่อนไหว (Footwork) การก้าวเท้าในการเคลื่อนไหวเพื่อป้องกันฝ่ายรุกถือเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจุดอ่อนของฝ่ายป้องกันที่ทำให้ฝ่ายรุกทำประตูได้ คือ ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามฝ่ายรุกได้ทัน เป็นเหตุให้เสียพื้นที่และอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบกว่า หลักสำคัญคือจะต้องยืนด้วยปลายเท้าให้ห่างกันประมาณเท่าช่วงไหล่ในลักษณะเท้านำเท้าตาม ไม่ยืนปักหลัก และเวลาเคลื่อนไหวอาจใช้วิธีการแบบสืบเท้าไปข้างหน้าหรือก้าวเท้าสลับกันไปก็ได้ แต่โดยปกติแล้วถ้าเป็นการเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ จะเป็นการเคลื่อนที่แบบสืบเท้า แต่ถ้าเป็นการเคลื่อนที่ที่ต้องการความรวดเร็วมาก ๆ จะเคลื่อนที่โดยวิธีการก้าวเท้าสลับ
- ตำแหน่งในการยืน (Position) ต้องยืนในตำแหน่งที่สามารถขวางกั้นทางของคู่ต่อสู้ ขณะที่วิ่งเข้ามาเพื่อจะยิงประตูหรือรับลูกบอล โดยปกติตำแหน่งการยืนของฝ่ายป้องกันจะยืนเป็นแนวตรงและอยู่ระหว่างห่วงประตูกับผู้เล่นฝ่ายรุก แต่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
ตามรูป 10 – 2 เส้นแสดงถึงตำแหน่งในการยืนของฝ่ายรับ ที่กำลังป้องกันฝ่ายรุก
| คือ ฝ่ายรุกกำลังถือลูกบอลอยู่ |
คือ ฝ่ายรับที่จะต้องยืนเป็นแนวเดียวกันกับผู้เล่นฝ่ายรุกและห่วงประตู | |
| คือ ผู้เล่นฝ่ายรุกที่ยังไม่ได้ถือลูกบอล |
คือ ฝ่ายรับที่จะต้องยืนป้องกันให้เยื้องมาทางผู้เล่นฝ่ายรุกที่กำลังถือลูกบอลอยู่เล็กน้อย เพื่อปิดทางในการส่งลูกบอล และยังเป็นการสกัดกั้นไม่ให้วิ่งตัดเข้าในได้สะดวกอีกด้วย |
หลักปฏิบัติของตำแหน่งในการยืนป้องกัน สรุปได้ดังนี้
- การยืนป้องกันคนที่ถือลูกบอล (Guarding the man with the ball) จะต้องยืนอยู่ในตำแหน่งที่สามารถบีบบังคับให้คู่ต่อสู้เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่ถนัด หรือในพื้นที่แคบ หรือไปหาเพื่อนของเรา และจะต้องป้องกันอย่างรัดกุมที่สุด ผู้ถือลูกบอล ผู้ป้องกันและห่วงประตูควรเป็นเส้นตรงเดียวกัน
- การยืนป้องกันคนที่ไม่ถือลูกบอล (Guarding the man without the ball) ผู้ป้องกันจะต้องระวังการผละถอยไปรับลูกบอลของฝ่ายรุก และจะต้องยืนอยู่ในลักษณะรูปสามเหลี่ยมเสมอ
รูปแบบของการป้องกัน (Defensive Formations)
รูปแบบของการป้องกันพื้นฐานจำแนกออกได้เป็น 2 แบบ คือ
- การป้องกันแบบคนต่อคน (Player – to – Player)
- การป้องกันแบบตั้งป้อมรับหรือเป็นเขต (Zone Defense)
จากรูปแบบของการป้องกันพื้นฐานข้างต้น ยังสามารถพลิกแพลงออกไปได้อีก 2 แบบ คือ
- การป้องกันแบบผสม (Combination Defenses)
- การป้องกันแบบบีบคั้นหรือบีบบังคับ (Pressing Defenses)
ซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียด ดังนี้
- การป้องกันแบบคนต่อคน (Player – to – Player)
การป้องกันแบบนี้เป็นแบบที่ใช้ป้องกันมากที่สุด คือร้อยละ 75 ของทีมบาสเกตบอลทั้งหลาย ครูหรือผู้ฝึกควรดำเนินการสอนให้แก่ผู้เล่นก่อนการสอนแบบป้องกันอื่น ๆ เพราะจากการสังเกตและติดตามผลของผู้ฝึกหลายท่านพบว่า เมื่อผู้เล่นได้เรียนรู้และฝึกถึงวิธีการป้องกันแบบคนต่อคนได้ดีแล้ว สามารถนำไปใช้ในการป้องกันแบบตั้งป้อมหรือแบบอื่นได้ดี มีความก้าวหน้าในทักษะส่วนบุคคลและสมรรถภาพทางกายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนในแง่ของเกมการแข่งขัน สภาพการณ์ที่น่านำไปใช้ในการป้องกันแบบนี้ คือ ผู้ฝึกจะต้องพิจารณาว่าฝ่ายตรงข้ามมีทักษะส่วนบุคคลด้อยกว่าฝ่ายเราหรือเปล่า ถ้าด้อยกว่าและกำลังไม่ดีควรใช้การป้องกันแบบนี้
เมื่อฝ่ายรุกถูกฝ่ายป้องกันจับคุมแบบคนต่อคน กลวิธีในการแก้ของฝ่ายรุก คือ การใช้การบัง (screen) เพื่อทำให้ฝ่ายป้องกันเกิดการสับสนและฝ่ายป้องกัน ๆ 1 ต่อ 2 จึงทำให้ฝ่ายรุกเกิดการว่างไม่มีคนจับโดยเฉพาะขึ้น เมื่อเป็นลักษณะเช่นนี้ฝ่ายป้องกันจะต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เกิดในลักษณะเช่นนั้นได้ คือจะต้องพยายามติดตามคู่ของตนให้ได้ และไม่ควรเปลี่ยนคู่ป้องกันโดยไม่จำเป็น
เมื่อฝ่ายรุกทำการบัง (Screen) ฝ่ายป้องกันมีวิธีการป้องกันดังนี้
วิธีที่ 1 การสไลด์ไปด้านข้าง (sliding)
รูปที่ 10 – 5 (ก, ข) ขณะที่ ไปทำบัง ซึ่งมี ติดตามไปด้วยนั้น ขณะที่ จะเคลื่อนมารับลูกบอลจาก นั้น ให้ ก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย เพื่อให้มีช่องทางที่ จะสไลด์ติดตาม ไปได้
วิธีที่ 2 การต่อสู้ขึ้นเหนือผู้ที่ทำการบัง (Fight on the Top of the Screen)
รูปที่ 10 – 6 (ก, ข) เมื่อ ถูกการบังก็พยายามก้าวเท้าด้านที่ถูกกำบังให้ยาวเฉียงขึ้นเหนือผู้ที่ทำบังอยู่ และติดตามคู่ให้ทัน
วิธีที่ 3 การเปลี่ยนคู่ป้องกัน (Switching)
วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้ายที่ไม่อาจจะสไลด์หรือขึ้นเหนือผู้ที่ทำบังไปได้ ถ้าไม่จำเป็นแล้วอย่าเปลี่ยน เพราะจะทำให้เกิดปัญหาในการป้องกันระหว่างคู่ฝ่ายรุกฝ่ายป้องกันไม่สมดุลกัน ทำให้คนตัวเตี้ยป้องกันคนสูงได้
แทนที่ จะติดตามป้องกัน เปลี่ยนให้ เป็นผู้ป้องกันเสีย ปัญหาที่มักเกิดขึ้น คือ และ ไม่ค่อยจะรู้กันว่าจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ วิธีแก้ไข คือ ให้ เป็นผู้บอกให้ เปลี่ยนโดยใช้คำว่า “เปลี่ยน” ดัง ๆ ให้รู้กัน
หัวข้อที่ควรยึดถือในการป้องกันแบบคนต่อคน
- ดูทั้งลุกบอลและดูทั้งคน (คู่ต่อสู้)
- พร้อมเสมอที่จะตัดเอาลูกบอลจากคู่ต่อสู้
- วิ่งตามคู่ต่อสู้ไปทุกหนทุกแห่ง
- เมื่อลูกบอลเคลื่อนไปทางใดตาจะต้องมองชำเลืองดูลูกบอลเสมอ และพยายามบีบคู่ต่อสู้ให้ออกนอกระยะการยิงประตู หรือบังคับให้คู่ต่อสู้ส่งลูกบอลให้เร็ว
- บังคับให้ฝ่ายรุกส่งลูกบอลนอกหัวกะโหลก อย่าปล่อยให้คู่ต่อสู้บุกทะลวงเข้าในเขตโดยโทษได้
- ถ้ากลางศูนย์อยู่ใต้ห่วงประตู ผู้ป้องกันต้องอยู่หน้า (ดังรูปที่ 10 – 7)
- ตามกลางศูนย์ไปทุกแห่ง และระวังการหลอกล่อ
- พยายามป้องกันอย่างใกล้ชิดอย่าให้คู่ต่อสู้ส่งลูกบอลให้กลางศูนย์ได้
- ท่าป้องกันกลางศูนย์ คือ ให้ยกมือขึ้นคอยหาจังหวะดึงลูกบอลมาครอบครองอย่าให้กลางศูนย์ขึ้นยิงประตูได้
- ระวังการบังของคู่ต่อสู้ ถ้ามีการบังจะต้องมีการเปลี่ยนการป้องกันทันที คนอยู่หลังเป็นคนบอก “เปลี่ยน”
- อย่าให้คู่ต่อสู้ตั้งยิงประตูได้ เมื่อคู่ต่อสู้เลี้ยงลูกบอลแล้วต้องเข้าชิดตัวคู่ต่อสู้ทันที
- เมื่อคู่ต่อสู้ยิงประตูแล้วต้องคอยเตือนให้ฝ่ายเราสกัดกั้น (block) คู่ต่อสู้เอาไว้ เมื่อฝ่ายเราได้ลูกบอลให้รีบส่งออกทันที
- ป้องกันคู่ต่อสู้เอาไว้จนกว่าฝ่ายเราได้ผลประโยชน์
- เมื่อมีการเปลี่ยนตัว ผู้ถูกเปลี่ยนตัวต้องแจ้งหมายเลขที่ตนป้องกันอยู่ให้ผู้เข้ามาใหม่ทราบ
- เมื่อฝ่ายคู่ต่อสู้เปลี่ยนตัวเข้ามาใหม่ ต้องเรียกพวกเรารวมทั้งกลางศูนย์ ว่าใครจะป้องกันใคร เพราะเดี๋ยวอาจเกิดการสับสนสองคนป้องกันคนเดียวได้
- อย่าเดาสุ่มว่าป้องกันคนนั้นคนนี้ หรือเป็นบุคคลสองจิตสองใจ
- อย่าปัดลูก เพราะการปัดเป็นการไม่แน่นอน การป้องกันที่ดีซึ่ง กร.เจมส์ เอ ไนสมิธ ได้กล่าวไว้ “ต้องติดชิดแน่นคู่ต่อสู้เหมือนกับกาว”
- การป้องกันแบบตั้งป้อมรับหรือเป็นเขต (Zone Defense)
การป้องกันแบบตั้งป้อมรับ หมายถึง ผู้เล่นฝ่ายรับถูกมอบหมายให้รักษาในเขตที่กำหนดให้หน้าห่วงประตูเป็นส่วน ๆ ดังรูปที่ 10 – 8 และ 10 – 9 เมื่อคู่ต่อสู้เข้ามาในเขตเฉพาะตน ผู้ที่ถูกมอบหมายต้องพยายามต่อต้าน จนกระทั่วให้ฝ่ายรุกพ้นเขตของตนไป เหมาะกับฝ่ายรุกที่ยิงประตูด้านนอกไม่แม่นยำ การแย่งลูกบอลหลังจากการยิงประตูไม่ดี และฝ่ายรับมีรูปร่างสูง แย่งลูกบอลจากการยิงประตูได้ดี แต่กำลังหรือความสามารถส่วนบุคคลอาจเป็นรองฝ่ายรุก
รูปแบบของการตั้งป้องกัน
การป้องกันแบบตั้งป้อมรับมีหลายแบบดังนี้
2.1 แบบ 2 – 1 – 2
2.2 แบบ 2 – 3
2.3 แบบ 3 – 2
2.4 แบบ 1 – 2 – 2
2.5 แบบ 1 – 3 – 1
2.6 แบบ 2 – 2 – 1
2.1 แบบ 2 – 1 – 2
รูป 10 – 10 แสดง ตำแหน่งของฝ่ายป้องกันตั้งป้อมรับ เมื่อลูกบอลอยู่ที่ เมื่อ ส่งลูกไปที่ ผู้ตั้งป้อมรับจะเคลื่อนที่ไปตามลูกศร เป็นลักษณะเคลื่อนเขตป้องกัน (ดังรูปที่ 10 – 10)
การรับผิดชอบโดยการเคลื่อนที่ แบบ 2 – 1 – 2 ถ้า ส่งลูกไปให้ ที่เส้นหลัง ต้องเคลื่อนที่ไปหา สไลด์เข้าช่องกลางไปด้านขวา และ จะเคลื่อนที่ไปแทน และ เข้าไปป้องกัน (ดังรูปที่ 10 – 11)
แบบ 2 – 1 – 2 ถ้า ส่งลูกไปให้ ผู้ป้องกันเบอร์ จะต้องเข้าป้องกัน ในขณะเดียวกันผู้เล่นป้องกันเบอร์ และ จะเคลื่อนที่เข้าป้องกันได้ห่วงไม่ให้ ส่งลูกให้ ส่วนผู้ป้องกัน และ จะถอยไปป้องกัน และ ซึ่งเป็นคู่ของตน (ดังรูปที่ 10 – 12)
2.2 แบบ 2 – 3
การเคลื่อนที่ของการตั้งป้อมรับแบบ 2 – 3 มีลักษณะการรับผิดชอบในการป้องกันเหมือนกันกับการเคลื่อนที่แบบ 2 – 1 – 2 ดังรูปที่ 10 – 13 และรูปที่ 10 – 14 และ 10 – 15 แสดงการเคลื่อนที่ขณะที่มีการเล่นหนักทางขวา
2.3 แบบ 3 – 2
ตำแหน่งในการยืนป้องกันแบบ 3 – 2 ดังรูปที่ 10 – 16
2.4 แบบ 1 – 2 – 2
ตำแหน่งในการเคลื่อนที่ เพื่อการป้องกันแบบ 1 – 2 – 2 ซึ่งมีวิธีการคล้ายคลึงแบบ 3 – 2 แต่ตัวกลางคือ จะขึ้นสูงและคอยส่ายไปมา ตามการเคลื่อนที่ของลูกบอล ดังรูปที่ 10 – 17
2.5 แบบ 1 – 3 – 1
ตำแหน่งการเคลื่อนที่แบบ 1 – 3 – 1 ดังรูปที่ 10 – 18 และรูปที่ 10 – 19 แสดงการเคลื่อนที่ ขณะที่ผู้ป้องกันเบอร์ ครอบครองเนื้อที่ตรงเส้นหลังจากใต้ห่วงประตูมุมขวา วิธีการสลับตำแหน่งเพื่อครอบครองพื้นที่บริเวณเส้นหลัง
- การป้องกันแบบผสม (Combination Defenses)
การป้องกันแบบผสมนี้ คือการผสมผสานการป้องกันแบบคนต่อคนและแบบตั้งป้อมรับเข้าด้วยกัน เนื่องจากเหตุการณ์ของการเล่นเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด ไม่มีใครคาดฝันล่วงหน้าได้ว่าฝ่ายรุกจะดำเนินกลยุทธ์แบบใด ดังนั้นฝ่ายรับจึงต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการคุมคนที่กำลังครอบครองลูกบอลไว้ เพื่อชะลอเวลาให้ผู้เล่นฝ่ายเดียวกันมาตั้งรับทัน และอีกประการหนึ่งใช้เป็นแบบของการป้องกันที่ฝ่ายรุกมีตัวเด่น 1 หรือ 2 คน ที่มีความสามารถสูง เปิดเกมการเล่นดีและยิงประตูในระยะไกลได้แม่นยำ เพื่อไม่ให้ได้เล่นลูกบอลได้สะดวก
การป้องกันแบบผสม แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ
- แบบรูปคอก โดยมีผู้เล่นตัวต่อตัว 1 คน (The Box and One)
- แบบรูปสามเหลี่ยม โดยมีผู้เล่นตัวต่อตัว 2 คน (The Triangle and Two)
- แบบรูปคอก โดยมีผู้เล่นตัวต่อตัว 1 คน มีตำแหน่งพื้นฐานดังนี้
ผู้ป้องกัน และ จะยืนป้องกันบริเวณหัวกะโหลก ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกัน ส่วนผู้ป้องกัน และ จะยืนป้องกันหลังประมาณจุดกึ่งกลางของเส้นโยนโทษกับห่วงประตูคนละข้าง ส่วน จะเป็นผู้ป้องกันตัวต่อตัวกับผู้เล่นหมายเลข 5 ซึ่งมักเป็นตัวเปิดเกมการเล่นได้ดี หรือยิงประตูในระยะไกลได้แม่นยำ
แสดงการเคลื่อนที่เพื่อรับผิดชอบในการป้องกันร่วมกันของการเล่นแบบตั้งป้อมรับรูปคอก 4 คน และมีผู้เล่น 1 คน ป้องกันแบบตัวต่อตัว
- แบบรูปสามเหลี่ยม โดยมีผู้เล่นตัวต่อตัว 2 คน
รูปที่ 10 – 22 แสดงการตั้งป้อมรับ 3 คน เป็นลักษณะรูปสามเหลี่ยม และผู้เล่น 2 คนป้องกันแบบตัวต่อตัว โดย , และ เป็นผู้ตั้งป้อมรับและมี และ ป้องกันแบบตัวต่อตัว การรับผิดชอบและการเคลื่อนไหวของการเล่นแบบนี้ ได้แสดงไว้แล้วโดยผู้เล่นฝ่ายรุก ส่งลูกบอลให้ ผู้ป้องกัน , และ จะต้องเคลื่อนที่ไปตามลูกศรชี้
การป้องกันแบบนี้เหมาะสำหรับทีมฝ่ายรุกที่มีผู้เล่นยิงประตูได้แม่นยำสองคน หรือเป็นผู้ที่เปิดเกมการเล่นได้ดี
- การป้องกันแบบบีบคั้นหรือบีบบังคับ (Pressing Defenses)
การป้องกันแบบบีบคั้น หมายถึง การป้องกันคู่ต่อสู้ตั้งแต่เริ่มส่งลูกบอลเต็มสนามหรือครึ่งสนาม การป้องกันแบบนี้มักใช้กับทีมที่มีคะแนนตามคู่ต่อสู้และกำลังจะหมดเวลาแข่งขัน วัตถุประสงค์ คือ เพื่อบังคับให้คู่ต่อสู้ส่งลูกเสีย ก่อกวนให้คู่ต่อสู้ประสาทเสีย บังคับไม่ให้คู่ต่อสู้ถ่วงเวลา หรือบังคับคู่ต่อสู้ไม่ให้เป็นอิสระ ก่อกวนให้คู่ต่อสู้ขาดความเชื่อมั่น เมื่อคู่ต่อสู้มีคะแนนนำในเวลาที่เหลือเพียงเล็กน้อย เพื่อการเสี่ยงเอาชนะคู่ต่อสู้และสำรวจความแข็งแร่งของคู่ต่อสู้ว่ามีมากน้อยเพียงใด
พื้นที่แห่งความตายของฝ่ายรุก
ในการป้องกันแบบบีบบังคับหรือเร่งเร้านี้ ผู้เล่นฝ่ายรับจะต้องทำความเข้าใจถึงพื้นที่ที่เมื่อฝ่ายรุกเลี้ยงลูกบอลเข้ามาอยู่ในบริเวณที่แสดงไว้ในรูปที่ 10 – 23 แล้วจะส่งลูกบอลได้ยากลำบากมาก พื้นที่นี้เราอาจเรียกได้ว่า “พื้นที่แห่งความตาย” ซึ่งผู้เล่นฝ่ายรับควรจะรีบฉวยโอกาสเข้าสกัดกั้นปิดทิศทางในการส่งลูกทันที โดยใช้วิธีการป้องกันชนิดประชิดตัวหรือที่เรียกว่า หักสองทบทันที
- พื้นที่หมายเลข 1 และ 3 เป็นพื้นที่แห่งความตายของฝ่ายรุกที่อันตรายที่สุด เพราะจะมีโอกาส่งลูกออกไปได้ 2 ทิศทางเท่านั้น ทั้งนี้เพราะมีเส้นหลังและเส้นข้างสกัดอยู่ ดังนั้นฝ่ายรับจึงต้องพยายามต้อนให้ผู้เลี้ยงลูกบอลให้เข้ามายังบริเวณนี้ให้ได้ แล้ว 2 คนช่วยสกัดกั้นทันที ก็จะทำให้ฝ่ายรุกไม่สามารถส่งลูกบอลไปได้ ถ้าภายใน 5 วินาทีไม่สามารถส่งลูกบอลออกไปได้ กรรมการจะขานเป็นลูกยึดทันที
- พื้นที่หมายเลข 2 คล้ายกับพื้นที่หมายเลข 1 และ 3 แต่มีเส้นข้างและเส้นกึ่งกลางสนามสกัดอยู่ ตามกติกาการเล่นเมื่อฝ่ายรุกนำลูกบอลขึ้นมาแดนหน้าแล้วจะส่งลูกบอลกลับไปแดนหลังอีกไม่ได้ ฉะนั้นทิศทางในการส่งลูกบอลมี 2 ทิศทางเช่นเดียวกัน ดังนั้นการสกัดกั้นจึงใช้ 2 คน
การที่จะใช้วิธีการสกัดกั้นแบบประชิดตัวในพื้นที่แห่งความตายได้ดีนั้น ผู้เล่นฝ่ายรับจะต้องรู้หน้าที่และทิศทางในการเปลี่ยนตำแหน่งให้ดี และฉวยโอกาสในทันทีอย่างมั่นคงจึงจะได้ผล มิฉะนั้นแล้วถ้าหากว่าผู้ที่ถูกสกัดกั้นสามารถส่งลูกบอลออกมาได้ จะทำให้ฝ่ายรับเสียเปรียบ ฝ่ายรับต้องรีบคุมฝ่ายรุกที่ว่างอยู่ทันที มิฉะนั้นจะเสียประตูได้อย่างง่ายดาย
ประเภทของการป้องกันแบบบีบคั้น
- การป้องกันแบบคนต่อคนเต็มสนาม
การป้องกันบีบคั้นเต็มสนามนี้ เริ่มตั้งแต่ฝ่ายตรงข้ามได้ครอบครองลูกบอลหลังจากเสียประตู หรือส่งเริ่มเล่นจากแดนหลัง ดังรูปที่ 10 – 24 แสดงตำแหน่งการเล่นเต็มสนาม ฝ่ายรุก ฝ่ายรับ
- การป้องกันแบบคนต่อคนภายในสามส่วนของสนาม
รูปที่ 10 – 25 แสดงการป้องกันแบบคนต่อคนภายในสามส่วนของสนาม มีการเปลี่ยนตำแหน่งกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เลี้ยงลูกบอลมาที่มุมปิด (มุมแห่งความตาย) เริ่มจากขณะที่ เลี้ยงลูกบอลและมี เป็นผู้ป้องกัน จะรีบวิ่งมาดักหน้าผู้เลี้ยงลุก เพื่อต้อนเข้ามุม ส่วน ต้องรีบวิ่งไปป้องกัน และ ให้วิ่งขึ้นดัก ช่วย , คุมเชิง ไว้ โดยมี เคลื่อนตัวเข้าไปในเขตโทษเล็กน้อย
- การตั้งป้อมรับที่บีบคั้นเต็มสนาม (Zone Presses) การตั้งป้อมรับที่บีบคั้นหรือเร่งเร้าเต็มสนามนี้ มี 4 แบบ คือ
3.1 แบบ 1 – 2 – 2
3.2 แบบ 2 – 2 – 1
3.3 แบบ 2 – 1 – 2
3.4 แบบ 1 – 3 – 1
3.1 แบบบีบบังคับ 1 – 2 – 1 เต็มสนาม
รูปที่ 10 – 26 แสดงตำแหน่งการตั้งรับแบบ 1 – 2 – 2 ด้วยวิธีการบีบบังคับเต็มสนาม
3.2 แบบบีบบังคับ 2 – 2 – 1 เต็มสนาม
รูปที่ 10 – 27 แสดงการเล่นแบบตั้งรับแบบบีบบังคับด้วย 2 – 2 – 1 เต็มสนาม เริ่มด้วย บังคับให้ เลี้ยงลูกบอลออกไปทางเส้นข้าง เพื่อที่ให้ ถูกบีบบังคับให้หยุดเลี้ยงโดยมี , สกัดกั้นชนิดให้ สกัดกั้นแบบพับสองทบ ในขณะเดียวกัน จะเคลื่อนที่มาคุมเบอร์ และ เคลื่อนมา ณ จุดที่จะสามารถตัดลูกส่งได้
3.3 แบบบีบบังคับ 2 – 1 – 2 เต็มสนาม
รูปที่ 10 – 28 แสดงการเล่นแบบตั้งป้อมรับแบบบีบบังคับ 2 – 1 – 2 เต็มสนาม เริ่มด้วย และ ทำการสกัดกั้นแบบหักพับสองทบต่อผู้เลี้ยงลูกเบอร์ ในขณะเดียวกัน จะเคลื่อนไปอยู่ในตำแหน่งที่สามารถจะตัดลูกส่งได้ และ จะป้องกัน และ ซึ่งอยู่ในสภาพที่เตรียมพร้อมเช่นกัน
3.4 แบบบีบบังคับ 1 – 3 – 1 เต็มสนาม
รูปที่ 10 – 29 แสดงการเล่นแบบ 1 – 3 – 1 บีบบังคับเต็มสนาม เริ่มด้วย และ ทำการสกัดกั้นแบบหักสองทบกับผู้เลี้ยงลูกบอลคือ ในขณะเดียวกันนั้นผู้ป้องกันคนอื่น ๆ จะเคลื่อนที่ไปตามลูกศรชี้
การตั้งป้อมรรับแบบบีบคั้นครึ่งสนาม (Half – Court Zone)
การตั้งป้อมรับแบบบีบคั้นครึ่งสนามนี้ วิธีการวางตำแหน่งและการเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อช่วยเหลือกันเหมือนกับการตั้งป้อมรับบีบบังคับเต็มสนาม ผิดกันที่ว่าผู้ป้องกันมาตั้งรับภายในครึ่งสนามของตนเท่านั้น
ยุทธวิธีในการป้องกันแบบบีบคั้น
- ต้องตั้งป้องกันแบบบีบคั้นให้เร็ว เช่น ใครคุมหมายเลขอะไร
- การป้องกันแบบบีบคั้นที่ดีที่สุด คือต้องกระทำพร้อมกันทั้ง 5 คน
- ผู้เล่นที่ถูกทิ้งไว้เพื่อป้องกันการลักไก่ เมื่อฝ่ายตรงข้ามครอบครองลูกบอลต้องลงอย่างรวดเร็ว มองที่ลูกบอลและพร้อมเสมอที่จะตัดลูกบอล
- บังคับให้คู่ต่อสู้ส่งลูกเสียให้ได้ หรือยังคับให้คู่ต่อสู้ทำผิดกติกา
- พยายามป้องกันให้ชิดตัวคู่ต่อสู้ และคอยรังควานอยู่เสมอ
- คอย “เปลี่ยน” คู่ให้ดีเมื่อฝ่ายเราร้องให้เปลี่ยน
- ระวังอย่าให้เกิดฝ่ายเราเองสองคนคุมคนเดียวได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้
7.1 คู่ต่อสู้เลี้ยงลูกบอล
7.2 เมื่อคู่ต่อสู้หมุนตัวเพื่อส่ง โดยฝ่ายเราสองคนเข้าคุมหลัง เพื่อจะเอาลูกกลับมาครอบครอง หรือเมื่อคู่ต่อสู้เข้ามุม หรือพยายามที่จะเจาะทะลวงเข้าทางเส้นหลัง
7.3 เมื่อคู่ต่อสู้เล่นวิธีหมุนเพื่อให้เกิด 2 คนป้องกันคนเดียว
- ถ้าฝ่ายเราพลาดจากการป้องกันซึ่งอยู่ในประมาณหัวกะโหลก ผู้เล่นฝ่ายรับที่ยืนอยู่ลึกใกล้ห่วงประตู ต้องเปลี่ยนออกมาป้องกันทันที เพื่อป้องกันการยิงประตู
- ถ้าคู่ต่อสู้หลุดจากการควบคุม ฝ่ายรับต้องรีบลงมายังเขตประตูของตนทันทีและจับคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดไว้ก่อน
- การป้องกันแบบบีบคั้นก็เปรียบเสมือนการพนัน ซึ่งบางครั้งก็ได้บางครั้งก็เสีย แต่อย่างไรก็ดี ต้องรวดเร็วและตื่นตัวอยู่เสมอ สายตาต้องชำเลืองหรือดูลูกบอลตลอดเวลา